เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒ มี.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

เวลาเราปฏิบัติธรรม เห็นไหม เวลาปฏิบัติธรรมเราก็ปฏิบัติของเรา ปฏิบัติเราก็คิดว่าเป็นธรรมนะ แต่เวลาเราเกิดมา เห็นไหม นี่มนุษย์สมบัติ เวลามนุษย์สมบัติมันขังเราไว้ไง ขังหัวใจเราไว้ มนุษย์สมบัติ มนุสสเปโต มนุสสติรัจฉาโนนี่เขาเอาไปขังไว้ในคุก เพราะมันทำผิด มนุสสเทโว เห็นไหม มนุษย์เป็นเทวดา มนุษย์เป็นพรหม เพราะใจมันเป็นมนุษย์ ใจมันเป็นพรหม เวลาใจมนุษย์ใจมันเป็นพรหม เรามาขังตัวเราไว้ เห็นไหม เราจะออกประพฤติปฏิบัติ เราจะหาใจของเรา เราต้องขังมัน ขังด้วยสติ เอาสติยับยั้งไว้ ยับยั้งใจของเราไว้ให้ได้ ถ้าเรายับยั้งใจไว้ได้ เราขังตัวเราเอง เห็นไหม

เวลาเรามาประพฤติปฏิบัติ อยู่โคนไม้ อยู่คนเดียวให้ระวังความคิดของตัว ความคิดของตัวมันฟุ้งซ่าน มันคิดออกไปร้อยแปดนะ แต่เราอยู่ในสังคมมันเพลิดเพลินกับสังคมนั้น มันคิดแต่เรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย แต่เราแยกตัวออกไป เห็นไหม ปัจจัยเครื่องอาศัยมันไม่มี สิ่งต่างๆ มันไม่มีทั้งนั้น มีแต่ใจเรากับสิ่งที่เป็นสัปปายะ พอใจเรามันสัปปายะใจเรามันจะดิ้น เห็นไหม เราต้องขังมันไว้ ถ้าเราขังใจเราไว้ได้นะ ศีล สมาธิ ปัญญา เกิดที่นี่ ถ้าศีล สมาธิ ปัญญา เกิดที่นี่ เห็นไหม เพราะอะไร เพราะเรามีศรัทธา เรามีศรัทธาความเชื่อนะ ศรัทธามันดึงให้เราเข้ามาสนใจในศาสนา ตัวศาสนาเป็นตัวเยียวยาหัวใจ

ดูสิ ความข้องใจ ความหมองใจ ความเศร้าใจ ความอาลัยอาวรณ์ในหัวใจ อะไรจะเข้าไปชำระล้างมันได้ ไม่มีสิ่งใดชำระล้างมันได้เลย เห็นไหม คนเราถ้าร่างกายสกปรกที่ไหน เข้าไปชำระร่างกาย ชำระได้ทั้งนั้น แต่หัวใจล่ะ? หัวใจมันทำไม่ได้ ถ้ามันทำไม่ได้ มันทำไม่ได้เพราะว่าเราเข้าใจผิดกันเองไง เราเข้าใจว่าเป็นสภาวธรรม เราเข้าใจกันไปทั้งหมด แต่มันไม่เป็นความจริง ถ้าเป็นความจริงขึ้นมานี่ทุกข์มันต้องหายไป ทุกข์มันต้องหายไป เห็นไหม

ทุกข์มีไหม ทุกข์ในร่างกายเรามีไหม? ทุกข์ในร่างกายคือการเจ็บไข้ได้ป่วย ทุกข์ในหัวใจมีไหม? มันมีทุกข์กายทุกข์ใจนะ เราไปเห็นแต่ความทุกข์มันเป็นสิ่งที่ประสพสัมผัสได้ แต่เราไม่เคยเห็นเลยความบีบคั้นของใจ อะไรมันบีบคั้น ไม่มีใครทำเราเลยนะ กิเลสในหัวใจเรา กิเลสตัณหาความทะยานอยาก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผจญกับมันมาแล้ว ผจญกับมันมาแล้วถึงว่าพญามาร พญามารอยู่ที่ไหน พญามารมันอยู่ในหัวใจของเรา หัวใจของเรามันพาเกิดพาตาย เกิดเป็นมนุษย์สมบัติ เกิดมาในสมบัติ เห็นไหม แล้วเราขังเราเอาไว้นะ ขังชีวิตเราไว้ ๑ ชีวิต แล้วพอตายไปมันก็หลุดออกไป หลุดออกไปโดยที่เราไม่ได้อะไรมาเลย เห็นไหม

หลวงปู่มั่นท่านบอกเลยนะปลาในสุ่ม ในสุ่มมันมีปลา เอาสุ่มครอบปลาเอาไว้ แล้วจับปลาในสุ่มนั้นไม่เจอ หัวใจเรามันถูกครอบงำในหัวอกเรา แล้วหาหัวใจเราไม่เจอ แล้วมันเป็นทรัพย์อันมีค่ามาก เพราะอะไร? เพราะเราแสวงหาทุกๆ อย่างมาก็เพื่อความสุข เพื่ออันนี้ เพื่อหัวใจมีความสุข เพื่อเรามีความพอใจ เราหามาเพื่อปรนเปรอมันนะ แล้วมันมีความสุขไหม? ตัณหาความทะยานอยากล้นฝั่ง ล้นอยู่นี้ไม่มีความเมืองพอเลย แต่ถ้าทีนี้เรามีศีล สมาธิ ปัญญา ยับยั้งมันได้เห็นไหม ความสุขมันเกิดจากที่นี่นะ

ความสุขมันเกิดจากการเสียสละ เสียสละมีความสุขตรงไหน? ได้มาถึงเป็นความสุขต่างหากล่ะ ได้มามันเป็นตัณหาความทะยานอยาก มันได้มาด้วยตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม แต่ถ้ามันสละออกไป มันสละออกไป มันสละออกไปในวัตถุ แต่หัวใจมันได้สละ มันได้เปิดสิ่งที่หมักหมมในหัวใจออกไป สิ่งที่หมักหมมในหัวใจนะ สิ่งที่มันเป็นความคับข้องใจ มันเปิดออกไปๆๆ

การเสียสละนะ เริ่มต้นมันทำไม่ได้ มันขัดแย้งกับความรู้สึกธรรมชาติของกิเลส ธรรมชาติของมันนะ มันเป็นธรรมชาติอันหนึ่ง มันเกิดดับกับใจของเราแต่มันไม่ใช่เรา ถ้ามันใช่เรานะ เราเอาออกจากใจเราไปไม่ได้หรอก มันเกิดดับจากเรา มันอยู่กับเรา แต่สามารถเอามันออกจากใจได้ ถ้าเอามันออกจากใจได้ วิธีการที่จะเอามันออกนี่ธรรมะเกิดตรงนี้ ถ้าธรรมะเกิดตรงนี้มันเกิดจากศรัทธานะ เรามาขังตัวเราไว้ก่อน ถ้าเราขังตัวเราไว้มันจะทุกข์ยากขนาดไหน เราพอใจ ถ้าเราพอใจทำ เรามีการกระทำขึ้นมามันเป็นมรรค เป็นมรรคไง เพราะความอยาก อยากออกจากทุกข์ อยากอะไรก็ไม่ได้เลย มันเป็นกิเลสๆ ตัณหาความทะยานอยากหาความทุกข์หาไฟมาเผาตัวเรามันเป็นกิเลส

แต่ความอยากอยากเป็นมรรค อยากดี อยากมีเป้าหมาย นี่อธิษฐานบารมีเห็นไหม เป้าหมาย อธิษฐานบารมี ศีลบารมี ต่างๆ เป็นบารมีขึ้นมา ถ้ามีบารมีขึ้นมา คนมีบารมีนะ เคลื่อนไหว ไปเหยียดคู้ไป มีสติสัมปชัญญะตลอด สิ่งใดเกิดขึ้นมากระทบถึงหัวใจตลอดเลย กระทบถึงใจไง

“ทำไมเป็นอย่างนั้น? ทำไมเป็นอย่างนั้น? ทำไมอย่างนั้น? แล้วเราทำไมเป็นอย่างนั้น?”

“ไม่ใช่เป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนั้นเพราะเขาทำเรา เป็นอย่างนั้นเพราะเขาทำเรา”

กิเลสมันจะผลักไส ผลักไสทุกอย่างให้คนอื่นแก้ไข มันไม่ใช่ไปโรงพยาบาลนี่ ไปหาหมอ หน้าที่รักษาเป็นหน้าที่ของหมอนะ แต่หน้าที่ของเรา “อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”

มรรคจะเกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาจากใจของเรา มรรคเกิดมาจากไหน? มรรคคือความคิดไง ความคิดที่มีสมาธิรองรับนะ ถ้าความคิดที่ไม่มีสมาธิรองรับมันเป็นตัวตน มันเป็นโลกียปัญญา ปัญญาของกิเลส ปัญญาของตัณหา ตัณหามันอ้างธรรมะ อ้างธรรมะว่าปฏิบัติธรรม แล้วมันอ้างสิ่งนี้มาฆ่าเรา เราถึงต้องทำความสงบของใจก่อน ทำความสงบของใจขึ้นมานี่ เห็นไหม มนุสสเทโว เป็นมนุษย์นะ มนุษย์เราเป็นพระเป็นเจ้า อยู่ในป่าในเขานั่งสมาธิภาวนา ถ้าจิตสงบขึ้นมาเทวดาเขามาปกป้องเลย ดูสิ เสือเทพ พวกเทวดา พวกอินทร์ พรหม มาปกป้อง นี่ไง มนุสสเทโว แม้แต่เทวดายังเลื่อมใสเลย เลื่อมใสเพราะว่าจิตมันสงบ เพราะว่าจิตมันเห็น

ดูสิ เวลาเราเขียนหนังสือบนกระดาษ กระดาษมันเป็นกระดาษขาว พอเขียนเป็นตัวอักษรไป มันจะมีตัวอักษรขึ้นมาเลย ความคิดน่ะ ใจน่ะมันขาว ความคิดมันเกิดที่ใจ ความคิดมันเกิดที่ใจมันก็เห็นหมด เทวดาก็รู้เราคิดอะไรนะ เราคิดเราต้องการสิ่งใดเราแสดงออก ความรู้สึกเรา ความคิดอยู่ในหัวอกเราจะไม่มีใครรู้นี่ เทวดาเขารู้ได้ สิ่งต่างๆ แล้วจิตมันสงบขึ้นมา เขาเห็นว่ามันเป็นกระดาษขาว มันจะเห็นเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ เขาจะมาปกป้อง เขาจะมาดูแล เห็นไหม

มนุสสเทโว เห็นไหม มนุสสเทโวก็เป็นมนุษย์ แต่จิตใจมันประเสริฐ ประเสริฐขึ้นมาเพราะเรามีคุณค่า เพราะเรารู้จักว่าทรัพย์มันอยู่ที่ไหน เรารู้จักว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์กับอะไร เราไม่หาสมบัติสาธารณะ สมบัติที่เราหามาเป็นสมบัติสาธารณะ มันเกื้อกูลกันได้ ดูสิ รัฐบาลเขาก็ดูแลเราได้ สมบัติสาธารณะ เราไปหาสมบัติสาธารณะมา แล้วสมบัติส่วนตนล่ะ? สมบัติของเราล่ะ? สมบัติของเราสุขทุกข์นี่ไง สุขทุกข์ในหัวใจเราเป็นสมบัติของเรา แล้วใครโกหกใครได้ ใครโกหกใครได้นะ ใครปิดหัวใจตัวเอง ตัวเองมีความสุข ใครปิดตัวเองได้ แล้วจิตมันสงบขึ้นมา มันสว่างไสวขึ้นมาในหัวใจเราน่ะใครจะปิดเราได้ ใครจะมาฉกชิงวิ่งราวทรัพย์สมบัติของเราไปได้ แล้วถ้าเกิดปัญญาขึ้นมานะ

“โอ้ ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นอย่างนี้เอง”

มันเป็นโลกุตตรปัญญา ปัญญาแก้ไขความเศร้าหมองในหัวใจ ปัญญามันทำสิ่งอัดอั้นตันหัวใจนี่มันเปิดออกได้ สิ่งนี้มันเปิดออก เปิดออก พอเปิดออกมันก็เบา มันก็มีความรู้สึก อ๋อ ปัญญาอย่างนี้นี่เอง ปัญญาอย่างเราปัญญากดทับ ปัญญาหนักหน่วง ปัญญาเครียด ปัญญาทำให้เราต้องวิ่งตามมัน นี่ตัณหาความทะยานอยาก แต่ถ้าเป็นปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโลกุตตรปัญญา ปัญญามันผ่อนออกนะ มันคลายออก มันคลายออก คลายความหมองทางใจ คลายออก คลายออก สิ่งที่ทำได้นะ

“มรรค ผล นิพพาน มี”

มีเพราะอะไร?

“มีเพราะมันมีเจ้าของสมบัติ”

เจ้าของสมบัติคือพุทโธ เห็นไหม ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน พุทโธ พุทธะ

พุทธะคือผู้รู้ ภาชนะสิ่งใดจะใส่สมบัติสิ่งใด เห็นไหม ข้าวของเงินทองไม่ใช่บัญชีจดทะเบียนไว้ สิ่งที่เป็นสมบัตินามธรรมก็หัวใจรับรู้ไว้ พุทธะมันรู้ แต่พุทธะมันโดนกิเลส มันโดนมารปิดไว้ เห็นไหม

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา มันซึ้งมาก

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา”

ความดำริไม่ใช่คิดนะ คิดดำริออกมา เริ่มต้นของความคิด มารเกิดตรงนี้ มารมันออกมาพร้อมกับความเริ่มต้น ความดำริน่ะ มารมันขี่คอมาเลย พอความคิดเกิดขึ้นมารมันขี่คอมาแล้ว เห็นไหม

“มารเอย เธอเกิดจากความดำริของเรา เราเห็นตัวเจ้าแล้ว เจ้าจะเกิดในหัวใจเราอีกไม่ได้เลย”

ไม่ได้เลย เห็นไหม เยาะเย้ยมันเลย แต่เราล่ะ? เราเป็นขี้ข้ามัน เราโดนมันขี่คอมา ขี่คอมาตลอด เห็นไหม มันถึงเป็นสิ่งที่เป็นทุกข์เป็นยากอยู่นี่ไง เราออกมาประพฤติปฏิบัติมาขังตัวเองไว้ก่อน ขังตัวเองแล้วก็ดูความคิดเรา แล้วใช้สติตามความคิดไป จนความคิดมันปล่อย ปล่อย ปล่อย ปล่อยจนเป็นอิสระนะ นี่ตัวตน

ในทะเบียนบ้านนะ นาย ก. นาย ข. นาย ง. มันทะเบียนบ้าน กรมการปกครองเขาจดให้ แต่ไม่มีใครรู้จักตัวจริงของตัวเองเลย พอจิตมันสงบเข้ามา นี่ไง ความรู้สึกนี่คือเรา ปฏิสนธิจิต ตัวนี้ตัวเกิดตัวตาย แล้วเราเข้าไปถึงตรงนี้ปั๊บเราไปแก้ไข นี่เป็นเจ้าของ นี่สมบัติของเรา แล้วซึ้งมาก ซึ้งมันอยู่กับใจของเรา มันความรับรู้ของเรา เห็นไหม มันเกิดกับเราแล้วมันดับกับเรา เราเป็นคนเห็น เราเป็นคนสงสัย จิตใต้สำนึกไง

ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมาแล้วก็ต้องตาย สิ่งต่างๆ ก็ไม่ได้เป็นของเรา มันพูดแต่ปากนะ แต่ใจมันเร่าร้อน แต่พอเราไปเห็นสัจจะความจริง มันไปปลดกันที่อุปาทาน มันไปปลดกันที่ต้นของความรู้สึก ต้นของความคิด มันไปปลดกันที่นั่น มันรู้จริงกันที่นั่น แล้วมันปล่อยวางกันที่นั่น เห็นไหม ถ้ามันปล่อยวางกันที่นั่น มันก็เบาตัวเบาตน มันจะเห็นคุณค่าของหัวใจของเรานะ

ครูบาอาจารย์ที่ท่านประพฤติปฏิบัติเป็นนะ ท่านเห็นคุณค่าของหัวใจมาก คุณค่าของหัวใจ คุณค่าของความรู้สึก เห็นไหม ท่านถึงบอกว่าคุณค่าของน้ำใจ น้ำใจไมตรี น้ำใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ธรรมอันนี้สำคัญมากเลย แก้วแหวนเงินทองเจือจานกันได้นะ เรามีน้ำใสใจจริงต่อกัน เราเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อกัน มันมีคุณค่า สบตากันก็มีความสุขนะ อยู่ด้วยความร่มเย็นเป็นสุขนะ ไม่ใช่อยู่ด้วยความหวาดระแวง อยู่ด้วยความลังเลสงสัย อยู่ด้วยความอาลัยอาวรณ์ อยู่ด้วยทุกข์หมดเลย ทั้งๆ ที่เราเองอยู่กับเราเองเราก็ยังทุกข์ เห็นไหม แล้วขังมันไม่เป็น ขังทุกข์ไว้ไม่ได้ ยังไม่เห็นอริยสัจ ทุกข์ควรกำหนด สมุทัยควรละ ทุกข์เห็นแต่ผล เห็นแต่กิเลสมันสร้างปัญหาไว้ มันขับถ่ายไว้แล้วมันก็หายไปแล้ว แล้วก็บ่นทุกข์ ทุกข์ ทุกข์ บ่นแต่ขี้ที่มันถ่ายทิ้งไว้บนหัวใจ เราขังมันไม่เป็น เรามาขังตัวปั๊บเรามาขังความคิดเรา ขังให้สมาธิมันเกิดขึ้นมา อริยทรัพย์มันเกิดที่นี่ แล้วมันจะเห็นทุกข์

ทุกข์คืออะไร? ทุกข์คือตัณหาความทะยานอยาก ทุกข์คือความขัดแย้งของใจที่มันขัดแย้งกับข้อเท็จจริง สัจจะความจริงมันเป็นอย่างนี้ แต่ความต้องการของเราน่ะ ความต้องการของเรา ความปรารถนาของเรา มันไปขัดแย้งกับมัน แล้วปรารถนา ตัณหาความทะยานอยาก เห็นไหม มันขัดแย้งกันมันก็ทุกข์ ทุกข์เพราะเกิดสมุทัย ตัณหาความทะยานอยาก ถ้าเกิดมีมรรคขึ้นมา นิโรธดับหมด นิโรธะ นิโรธะ ดับ ดับ ดับ ดับ ดับ ดับก็นี่ไง ดับเพราะอะไร ดับเพราะมรรค มรรคมันไปเกิดขึ้นมา มรรค เห็นไหม ดูสิ เขาทำงาน เขาหว่านเขาไถกัน เขาต้องลงทุนลงแรง เห็นไหม

สติอยู่ที่ไหน? แล้วผาลอยู่ที่ไหน? แล้วมันไถลงไปตรงไหน?

นี่มรรค ๘ งานของเรามันก็ไถลงไปที่หัวใจสิ หัวใจมันคิดขึ้นมาอย่างไร? มันมีเหตุมีผลอย่างไร? ต้นความคิดมันมาจากไหน? แล้วใครเป็นคนยุแหย่มัน มันถึงคิดออกมาได้ถึงขนาดนี้ แล้วเอาผลของมันมาเหยียบย่ำใจ เห็นไหม เราก็หว่าน เราก็ไถ นี่ก็มรรคไง มรรคมันเกิดที่ใจ มรรคอยู่ที่นี่ มรรคไม่ใช่อยู่ในหนังสือนะ มรรคไม่ใช่ว่าสัมมาอาชีวะ มันเลี้ยงชีพชอบ มันเลี้ยงปาก แต่มรรคเป็นความคิด มันเป็นมรรคญาณ ญาณหยั่งรู้ ญาณหยั่งรู้ในหัวใจมันเกิดขึ้นมาได้ ทุกคนเป็นคนที่มีปัญญามาก ทุกคนเก่งกล้ามาก แล้วญาณหยั่งรู้ มรรคนี้มันเกิดมาได้อย่างไร? มรรคมันอยู่ที่ไหน? ไปหาที่ไหนก็ไม่เจอ ถ้าหาเอาความรู้สึก หาออกจากใจนี่เจอ หาจากใจของเรานี่ ขังตัวเองไว้ แล้วพยายามสร้างสมขึ้นมา เห็นไหม ขังแล้วปลดปล่อย ปลดปล่อยด้วยมรรคญาณ ปลดปล่อยสิ่งต่างๆ ออกมา

สมบัติอยู่ที่นี่ เวลาประพฤติปฏิบัติไง เวลาทุกข์เวลายากนะ เวลามาประพฤติปฏิบัติกัน เราบอกว่า โอ้โฮ ทุกคนมาแล้วอ่อนอกอ่อนใจ การอ่อนอกอ่อนใจน่ะงาน งานเพื่อจะรื้อภพรื้อชาติ งานเพื่อจะถอนอุปาทานในหัวใจ มันต้องตั้งใจ ต้องจริงใจ สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์กับเรา งานข้างนอกเจือจานกันได้จริงๆ นะ งานของโลก ครูบาอาจารย์ท่านบอก งานของโลก ช่วยเหลือเจือจานกันได้ งานของใจ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นได้นะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายกไปหมดแล้ว ขนไปหมดแล้ว

แต่นี่มันขนไปไม่ได้ เพราะอะไร?

“เพราะมันสุขทุกข์ที่เรา ศรมันปักที่ใจเรา เราต้องถอนของเราเอง”

แต่วิธีการขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ แล้วเราศึกษามาเป็นทฤษฎี ศึกษามาเป็นสมบัติยืม เป็นหนี้นะ ศึกษามาแล้วต้องใช้ดอกเบี้ย แต่ถ้าเป็นของเราจริงขึ้นมา ไม่ต้องใช้ใคร มันเป็นสมบัติของเรา แล้วมันเกิดที่หัวใจของเรา มันจะเป็นประโยชน์ของเรา เอวัง